วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

แสงสียามค่ำที่สังขละ

       

          สังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอ ทองผาภูมิ 74 กิโลเมตร เมืองชายแดน แห่งนี้ รายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอัน เขียวขจี มีแม่น้ำซองกาเลีย ไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่า พาดผ่าน อำเภอสังขละบุรีหล่อเลี้ยงผู้คน สองฟากฝั่งแม่น้ำ และเชื่อมสัมพันธ์ ชนชาติิมอญทั้งสองประเทศ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม่น้ำซองกาเลียจึงเป็นชื่อเรียก จากภาษามอญแปลเป็น ไทยว่า“ฝั่งโน้น” แม่น้ำซองกาเลียแบ่งแผ่นดินอำเภอสังขละบุรีออกเป็น สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือตัวอำเภอ ซึ่งรวม สถานที่ราชการและสถานที่พัก สำหรับ นักท่องเที่ยว ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่พูดภาษาไทย ภาคกลางส่วน อีกฝั่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านของชาวมอญทั้งที่ตั้งรกราก มานานนับร้อยปีและเพิ่ง อพยพเข้ามาใหม่สังขละบุรีเมืองที่ มีความงามหลากหลาย ทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ของพี่น้องต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งมอญ กระเหรี่ยง ไทย ลาว พม่า ฯลฯ อำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญ อาศัยตั้งบ้านเรือน อยู่เป็นจำนวนมาก ตัวอำเภอตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า"สามประสบ" คือบริเวณที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ ห้วยซองกะเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นของแม่น้ำแคว เมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดม เมืองที่มีความงาม หลากหลายทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรม พี่น้องต่าง เผ่าพันธุ์ ทั้งมอญ กระเหรี่ยง ไทย ลาว พม่า ฯลฯ








1.สะพานมอญ
            "สะพานไม้อุตตมานุสรณ์" หรือที่ เรียกกันว่า "สะพานมอญ”เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศ  มีความยาวประมาณ ๑ กม.  หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยงและมอญได สัญจร ไปมาหาสู่กันได้ เป็นการสร้าง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสามกลุ่มสะพานมอญเป็นจุดท่องเที่ยวที่เรียกว่า กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังขละบุรีไปแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมเดิน ชมสะพานเพื่อชมแสงสีทองของ พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า รวมถึง ชมวิถีชีวิตของชาวไทย และมอญที่เดินข้ามไปมาหากันบนสะพาน แห่งนี้ซึ่งค่อน ข้างจะคึกคักมากในช่วงเช้า








2.เมืองบาดาล
ในอดีตเป็นวัดวังก์วิเวการามเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะและชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยง และมอญได้ร่วมกันสร้างขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ. 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำ รันตี ไหลมาบรรจบกัน ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้าง เขื่อนเขาแหลมทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรี เก่ารวมทั้งวัดนี้ ด้วย หลวงพ่อจึงได้ย้ายมาสร้างวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานาน นับสิบปี ใน ช่วงฤดูแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจะลดจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด สามารถนั่งเรือ และขึ้นไปเดินเที่ยวชมโบสถ์ได้ ท่านสามารถล่องเรือชมบรรยากาศสองริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งจะพบวิถีการดำเนินชีวิตของ ชาวมอญ และเห็น ยอดเจดีย์พุทธคยาระหว่างการล่องเรือ ในช่วงน้ำมาก น้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอด ของโบสถ์เท่านั้นที่โผล่ให้เห็น ทำให้ที่นี่ เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ มีเสน่ห์จนกลายเป็นแหล่ง ท่องเที่ยว Unseen Thailand ในชื่อ เมืองบาดาล




วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

Splashdown Water Park Pattaya

           สแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา (Splashdown Water Park Pattaya) สวนน้ำแนวแอดเวนเจอร์ เหมาะกับทุกเพศทุกวัยที่รักความท้าทาย
           เราเชื่อว่าความเป็นเด็กมีอยู่ในทุกคน ที่แม้ว่าอายุจะล่วงเลยไปไกลแค่ไหนแต่ต้องมีสักช่วงเวลาล่ะน่า ที่คุณอยากจะมาปลดปล่อยความสนุกและความซุกซนที่ซ่อนอยู่ ยิ่งถ้ามีเครื่องเล่นที่กระตุ้นต่อมความท้าทายอย่าง Splashdown Water Park Pattaya สวนน้ำแนวแอดเวนเจอร์ด้วยแล้วละก็ รับรองว่าคุณจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย




       สำหรับสวนน้ำสแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา ถือเป็นสวนน้ำแห่งแรกที่เป็นแนวแอดเวนเจอร์แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งทุกเครื่องเล่นของที่นี่จะทำให้คุณสนุกแบบเปียกปอนไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น "Big Blob" สไลเดอร์สำหรับคนชอบความท้าทาย, ด่าน "Big Red Balls" ด่านที่ต้องใช้การทรงตัวเป็นเลิศ หรือจะเป็นด่าน "The Wall Racer" ให้คุณและเพื่อน ๆ ได้ประลองฝีไม้ลายมือกันเบา ๆ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเล่นอีกมากมายที่จะทำให้คุณเต็มใจเปียกแบบไม่ลังเลเลย ส่วนใครที่มากันแบบครอบครัวก็ไม่ต้องกลัวว่าเด็ก ๆ จะเล่นได้หรือเปล่า เพราะที่นี่เขามีโซนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ที่สำคัญยังเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยเป็นที่สุด





      โดยสวนน้ำสแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา จะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. ส่วนอัตราค่าบริการสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานหรือใบขับขี่ในไทย ราคาจะอยู่ที่ 650 บาท สำหรับชาวต่างชาติซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ 1,500 บาท และเอาใจผู้ปกครองที่แค่มาดูแลบุตรหลานแต่ไม่อยากเล่นเครื่องเล่น ราคาจะอยู่ที่ 200 บาท นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดสำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกรุ๊ปใหญ่, งานสัมมนา หรือสำหรับโรงเรียนที่ต้องการพาเด็ก ๆ มาเที่ยวนอกสถานที่





         เรียกว่าครอบคลุมทุกกลุ่มนักท่องเที่ยวจริง ๆ นอกจากนี้ ยังมีโซนสำหรับอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการด้วย และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทาง เพราะเขามีบริการรับ-ส่งระหว่างสวนน้ำและที่พักด้วยค่ะ

           งานนี้ใครที่อยากจะปล่อยแก่ เอ้ย ! ปล่อยความซ่าในตัวก็สามารถมาพิสูจน์ความสนุกท้าทายได้ด้วยตัวเองที่ สวนน้ำสแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 09 2234 9679 (ภาษาอังกฤษ), 09 2228 6065 (ภาษาไทย) หรือดูรายละเอียดได้ที่www.splashdownwaterparkpattaya.com และ เฟซบุ๊ก Splashdown waterpark pattaya








วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำตกสายทิพย์

น้ำตกสายทิพย์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว 





น้ำตกสายทิพย์” เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีจำนวนชั้นทั้งหมด 7 ชั้น ในการเดินลงสู่ตัวน้ำตกนักท่องเที่ยวควรสวมใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่มีความสามารถในการยึดเกาะพื้นผิวเป็นอย่างดีเนื่องจากทางลงสู่ตัวน้ำตกแต่ละชั้นค่อนข้างชันและลื่น ก้อนหินโดยรอบบริเวณน้ำตกถูกปกคลุมไปด้วยพืชจำพวกมอสและตะไคร่น้ำดูเขียวชอุ่มสวยงาม ปัจจุบันทางอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวได้ทำรั้วไม้กั้นทางไว้ไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไปเกินน้ำตกสายทิพย์ชั้นที่ 5 เพื่อความปลอดภัย 





     นอกจากน้ำตกสายทิพย์แล้ว.....ยังมีน้ำตกซึ่งมีความสวยงามและน่าสนใจบริเวณใกล้ ๆ กับลานสนภูสอยดาวอีก 2 แห่ง ได้แก่ “น้ำตกหุมพบ(น้ำตกหลุมพบ)” และ “น้ำตกมอส
    จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวกล่าวว่า “น้ำตกหุมพบ(น้ำตกหลุมพบ)” เป็นน้ำตกซึ่งมีความสูงชันมาก ถูกค้นพบโดยบุคคลชื่อ “หุม” อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตก ต่อมาจึงมีการเรียกชื่อเพี้ยนไปเป็น “น้ำตกหลุมพบ” ซึ่งเป็นคำเรียกที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยมากกว่า นักท่องเที่ยวซึ่งต้องการจะเดินทางไปชมความงดงามของน้ำตกแห่งนี้จำเป็นต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทาง สำหรับ “น้ำตกมอส” นั้นเป็นน้ำตกที่มีพืชจำพวกมอสและตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมโขดหินโดยรอบบริเวณน้ำตกเช่นเดียวกับ “น้ำตกสายทิพย์” แต่ “น้ำตกมอส” เป็นน้ำตกซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาเขตประเทศลาว การจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังน้ำตกมอสจำเป็นต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทางเช่นเดียวกันกับการเดินทางไปยังน้ำตกหุมพบ (ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมไม่ได้เดินทางเข้าไปเก็บภาพถ่ายและข้อมูลของ “น้ำตกหุมพบ” และ “น้ำตกมอส” บริเวณตัวน้ำตก หากแต่ใช้วิธีการสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแทนครับ)
    ภายหลังจากที่ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com) เก็บภาพถ่ายน้ำตกสายทิพย์เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็แวะนั่งพักรับประทานอาหารกลางวันแล้วจึงเดินกลับไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้ ๆ กับจุดกางเต็นท์เพื่อสำรวจตรวจดูแผนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบลานสนภูสอยดาว (มีป้ายโลหะของแผนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบลานสนภูสอยดาวปักอยู่บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้ ๆ กับจุดกางเต็นท์) เส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้เป็นทางเดินซึ่งเชื่อมติดต่อกันจนเกือบจะเป็นทรงกลม มีระยะทางรวมประมาณ 2.3 กม. มีการสร้างป้ายคำอธิบายเกี่ยวกับระบบนิเวศน์บนลานสนภูสอยดาวและป้ายคำอธิบายข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ตั้งเอาไว้ตามสถานีต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ เช่น ชีวิตมหัศจรรย์บนลานสน , พิชิตภูเดียวเที่ยวสองประเทศ , หลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า , มณีเทวาบุปผาราชินี , จุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาว , ฯลฯ นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 1 – 2 ชม.เดินสำรวจเส้นทางสายนี้ได้จนทั่ว


ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
..........ความสวยงามที่ผองคนเฝ้าค้นหา..........

ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
ภูสอยดาว.....ดินแดนแห่งน้ำค้างกลางเที่ยง

ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์

..เด็กหลง (ระเริง) ป่า !?.......

     แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยแต่เมฆหมอกก็ยังคงปกคลุมทั่วผืนฟ้าอยู่อย่างหนาแน่น เม็ดฝนน้อยใหญ่ร่วงหล่นโปรยปรายลงมาเป็นระลอก สายลมเย็นพัดพาละอองไอน้ำต้องกระทบกับร่างกายจนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน บรรยากาศต่าง ๆ รายรอบตัวบ่งบอกถึงความหมายของสมญานาม “ดินแดนแห่งน้ำค้างกลางเที่ยง” ของภูสอยดาวได้เป็นอย่างดี ..........บ่ายวันนี้..........พวกเราตั้งใจว่าจะเดินวนเวียนไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบลานสนภูสอยดาวให้ครบ 1 รอบ
     พวกเรากำหนดจุดตั้งต้นบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้วออกเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้านทิศตะวันออก ไม่นานนักพวกเราก็ได้มาพบกับต้นกล้วยไม้ “เอื้องแซะภูกระดึง” ที่กำลังออกดอกสีขาวบอบบางดูน่าทะนุถนอม ต้นกล้วยไม้เอื้องแซะภูกระดึงที่ชูช่อออกดอกอยู่บนลานสนภูสอยดาวนี้เป็นต้นกล้วยไม้ซึ่งพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาได้ทรงปล่อยคืนสู่ป่าไว้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯมาตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบัน









 ใกล้ ๆ กับสถานี “หลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า” จะมีทางแยก 2 เส้นทาง เส้นทางแรกมุ่งสู่ด้านทิศเหนือของลานนไปสิ้นสุด ณ “จุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาว” จากจุดนี้นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบภูสอยดาวได้แบบ 360 องศา ในช่วงเวลาเช้าหรือเวลาเย็นหากคุณมีอารมณ์โรแมนติกมากพอก็อาจจะพกพาไฟฉายส่องทางมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกก็ได้ จุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวนี้อยู่ห่างจากหลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้าประมาณ 800 เมตรและไม่มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้านอื่น ๆ (เมื่อเดินขึ้นไปถึงจุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวแล้วต้องเดินย้อนกลับลงมาตามเส้นทางเดิมเท่านั้น) ส่วนเส้นทางที่สองเป็นเส้นทางเลาะเลียบไปตามขอบหน้าผาด้านทิศตะวันตกของลานสนภูสอยดาวยาวเชื่อมต่อไปจนถึง “จุดชมพระอาทิตย์ตกภูสอยดาว” และสามารถเดินย้อนกลับไปยังจุดตั้งต้นบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้ในที่สุด [นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินไปตามเส้นทางด้านทิศตะวันออกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว – พิชิตภูเดียวเที่ยวสองประเทศ – หลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า (แวะไปจุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวได้) – จุดชมพระอาทิตย์ตกภูสอยดาว – ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือจะเลือกเดินไปตามเส้นทางด้านทิศตะวันตกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว – จุดชมพระอาทิตย์ตกภูสอยดาว – บังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า (แวะไปจุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวได้) – พิชิตภูเดียวเที่ยวสองประเทศ – ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก็ได้]






วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ดอยเสมอดาว


ณ.ดอยเสมอดาว จังหวัดน่าน

เช้าวันอากาศหนาวเหน็บ
       
       บางจังหวะเวลาที่สายลมพัดวูบไหวโชยปะทะ มันช่างหนาวยะเยือกกรีดลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของร่างกาย
       
       ยอดดอยเสมอดาวในเช้าวันนี้ ขาวโพลนไปด้วยม่านหมอกปกคลุมหนาทึบราวกับจะกลืนกินร่างกายของผมที่เดินลุยฝ่ามันไป ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงของค่ำคืนที่ผ่านมา ยอดดอยเสมอดาวฟ้าใสกระจ่าง เต็มไปด้วยมวลหมู่ดาวทะเลดาวที่ดารดาษพร่างพราวเต็มฟ้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้เข้าใจว่าทำไมดอยแห่งนี้ถึงชื่อว่า
       
       “ดอยเสมอดาว” 







• การเดินทาง
• จากกรุงเทพฯ ถึงแพร่ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ไปจนถึงอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามถนนแก้วฟ้า ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1026 จากอำเภอเวียงสา ไปอำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนสายนาน้อย-ปางไฮทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083 ไปอีกประมาณ 22 กิโลเมตร จนถึง ผาชู้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่าน
• 
สิ่งอำนวยความสะดวก
• บ้านพัก มีบ้านพักจำนวน 4 หลัง พักได้ประมาณ 60 ท่าน มีสถานที่กางเต้นบริเวณดอยเสมอดาวและที่ทำการอุทยานฯที่ผาชู้
• การติดต่อ
• สอบถามรายละเอียด ได้ที่ กรุงเทพฯ กรมป่าไม้  โทร. 0 2562 0760 หรือ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตู้ ปณ.14 อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 55150










     การเตรียมการเที่ยวดอยเสมอดาว ในอดีตคราวที่ผมมาที่นี่ครั้งแรกๆ ดอยเสมอดาวให้เรากางเต็นท์บนยอดดอยได้ ครั้งหลังๆ มานี้ไม่ยักเห็นเต็นท์บนยอดดอย คงมีเพียงพื้นที่กางเต็นท์ที่ลดหลั่นลงมาจากยอดดอยเท่านั้น เป็นไปได้ว่าบนยอดดอยนั้นอาจจะไม่อนุญาตให้กางเต็นท์เหมือนดังแต่ก่อน ถ้าเป็นตอนนั้นเราจะมาที่ดอยเสมอดาวแต่เช้า เพื่อจองพื้นที่กางเต็นท์ ในวันที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากันมากทางอุทยานจะไม่ให้นำรถขึ้นมาจอดบนดอยเสมอดาว แต่จะให้จอดรอที่ลานจอดรถ จนเมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มาถึงก่อนเราเค้าเก็บเต็นท์เดินทางลงจากดอยแล้ว จึงจะให้เราเอารถขึ้นไปจอดบนดอยเสมอดาว เพื่อให้นำสัมภาระลงจากรถแล้วยกไปที่ลานกางเต็นท์ที่เราจองเอาไว้ หลังจากนั้นก็ต้องเอารถกลับลงมาจอดที่ลานจอดรถใกล้ๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตามเดิม

 การมาเที่ยวดอยเสมอดาวในยุคหลังๆ ก็จะเห็นนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มที่วางแผนเที่ยวแบบเป็นจุดแวะ หมายถึงการมาเที่ยวเมืองน่าน นอนในเมืองแต่มาแวะดอยเสมอดาว โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงหัวค่ำ แล้วมาให้สว่างที่ดอยเสมอดาวพอดี ซึ่งเป็นวิธีที่ผมใช้ครั้งล่าสุด แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยมาดอยเสมอดาวเป็นครั้งแรก ก็ขอแนะนำว่า นอนค้างสักคืน แล้วจะประทับใจไปอีกนาน

 สภาพอากาศบนดอยเสมอดาว ค่อนข้างเย็น ด้านล่างเป็นหุบเขาแล้วล้อมรอบด้วยเทือกเขาที่สูงใกล้เคียงกัน ผ่ากลางหุบเขาด้วยแม่น้ำสายใหญ่ของจังหวัดคือลำน้ำน่าน นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้บริเวณดอยเสมอดาวมีทะเลหมอกเกิดขึ้นเป็นประจำ น้อยครั้งที่ฉันมาที่นี่ในฤดูหนาวแล้วไม่เจอทะเลหมอก ใครหลายๆ คนที่ไปเที่ยวตามยอดดอยเพื่อชมทะเลหมอกแล้วไม่เห็น ต้องกลับบ้านพร้อมความผิดหวัง ลองมาที่นี่ดู ที่นี่อาจจะเป็นที่แรกที่คุณเจอทะเลหมอกสุดแสนสวยประทับใจเหมือนกับฉัน




วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

‪#‎ลำน้ำเข็ก‬ ‪จังหวัด‎พิษณุโลก‬

‪  
ลำน้ำเข็ก‬ 


   อุ๊ยตาย.....ว้ายกรี๊ด.....ตาเถรตก !! เป็นเสียงที่คุณจะสามารถพบเจอได้เสมอขณะทำกิจกรรม “ล่องแก่ง” โดยเฉพาะหากแก่งนั้นๆ ยิ่งน่าหวาดเสียว.....ตื่นเต้น.....เร้าใจมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ เสียงกรีดร้องราวกับคนเสียสติก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น



ลำน้ำเข็ก  เป็นลำน้ำขนาดกลาง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ด้านอ.เขาค้อ ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติ ทุ่งแสลงหลวง บริเวณหน่วยหนองแม่นา จ.พิษณุโลก และไหลขนานไปกับถนนทางหลวง หมายเลข 12 (พิษณุโลก - หล่มสัก) เส้นทางลัดเลี้ยวของ ลำน้ำเข็ก ประกอบไปด้วยน้ำตกมากมาย  อาทิ น้ำตกศรีดิษฐ์ จ.เพชรบูรณ์, น้ำตกแก่งโสภาที่เลื่องชื่อของจ.พิษณุโลก, น้ำตกปอย, น้ำตกแก่งซอง, น้ำตกวังนกแอ่น ทั้งยังมีแก่งมากมายในลำน้ำสายนี้


ในช่วงฤดูฝน ลำน้ำใสสงบสายนี้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มข้น เชี่ยวกรากรุนแรง  ซึ่งแม้นักท่องเที่ยวไม่กล้าเสี่ยงที่จะเล่นน้ำ ในช่วงนี้ แต่นับว่าฤดูฝนจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมามากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่เหมาะแก่การล่องแก่งที่สนุกเร้าใจ 







ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง กับ 8 แก่ง  นักล่องแก่งผจญภัย จะพบกับความตื่นเต้นตลอดเส้นทาง นับตั้งแต่เริ่มต้น ที่ท่า ปากยาง ล่องไปถึงท่าขึ้นส่วนตัว ภายใน วนธารา เฮลท์ รีสอร์ท แอนด์ สปา และต้อนรับด้วยเครื่องดื่ม และอาหารว่าง รวมระยะทาง 8 กิโลเมตร



เสน่ห์ของแก่งลำน้ำเข็ก คือ ธรรมชาติของแก่งต่าง ๆ  ในลำน้ำเข็ก จะมีการไต่ระดับความยากง่ายจากระดับ 1-2 แล้วเพิ่มความรุนแรงเป็น 3-4 และ 4-5 ในช่วงท้ายของเส้นทาง  ทำให้ผู้ล่องแก่งมีเวลาซักซ้อมฝีไม้ลายมือ ถือเป็นการอุ่นเครื่องไปในตัว



สำหรับมาตรการด้านความปลอดภัย จะเริ่มตั้งแต่จุดลงเรือ ที่ท่าข้าม กม. 51 อำเภอวังทอง  จังหวัดพิษณุโลก  โดยก่อนจะล่องแก่ง  ทีมงานจะมีการอธิบาย การล่องแก่ง  สภาพลำน้ำ และสาธิตการสวมเสื้อชูชีพ หมวกนิรภัย     จากนั้นจะมีการสาธิตการนั่ง การพายเรืออย่างถูกวิธี และการควบคุมเรือยาง ให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ  รวมทั้งจะมีการแนะนำ การปฏิบัติตัวระหว่างการล่องแก่ง เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยว จะต้องฟังคำสั่งนายท้ายเรือ อย่างเคร่งครัด



เส้นทางการล่องแก่ง มีระยะทาง 8 กิโลเมตร ผ่านแก่งต่าง ๆ  8 แก่ง  แก่งท่าข้าม  มีความยากในระดับ 1-2 เพราะน้ำจะนิ่งแต่ ไม่นานนักจะได้พบกับ  แก่งไทร  ซึ่งจัดระดับความยากไว้ที่ 3-4  จากนั้นจะเป็น แก่งมรดกป่า แก่งนี้ฝีพายทางด้านขวาจะต้องทำงานหนัก  เพราะเมื่อผ่านแก่งจะต้องหักเลี้ยวซ้ายทันที ตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยว   แก่งนี้ถือว่าสร้างความตื่นเต้นเร้าใจได้ไม่เบา
















 แก่งต่างๆในลำน้ำเข็ก


เมื่อเริ่มลงเรือยางจากท่าน้ำทรัพย์ไพรวัลย์ มาได้ไม่ไกลนัก ก็จะสัมผัสกับ

แก่งท่าข้าม

เป็นแก่งที่ไม่ใหญ่นักสามารถทำการฝึกการบังคับเรือความยากอยู่ที่ประมาณ 1  2 เท่านนั้น ในช่วงที่น้ำน้อย ก็มีโขดหินโผล่พ้นน้ำพอให้ออกกำลังกายพอหอมปากหอมคอผ่านพ้อนแก่งท่าข้ามจะพบน้ำนิ่งอยู่สักพัก สามารถกระโดดลอยคอเล่นได้ล่องแก่งไปสักหน่อยก็จะถึงแก่งไทร

แก่งไทร

เป็นแก่งที่มีความยากในระดับ 3  4 เมื่อผ่านสายน้ำนิ่งมาแล้วสายน้ำจะแยกออกเป็น 2 ทาง ทางซ้ายมือไม่สามารถล่องผ่านไปได้เพราะจะมีโขดหินใหญ่โผล่ออกมามากมาย และมีต้นไม้หนาแน่นจะต้องผ่านทางด้านขวาของสายน้ำซึ่งเป็นช่องทางไม่กว้างนักลักษณะของแก่ง คือ เมื่อเริ่มล่องแก่งได้ประมาณ 10 เมตรสายน้ำจะหักเลี้ยวซ้ายมือทันทีฝีพายทางด้านขวามือต้องทำงานค่อนข้างหนักจึงจะผ่านแก่งมรดกป่าได้

แก่งปากยาง

เมื่อล่องผ่านแก่งมรดกป่ามาได้ไม่ไกลนักจะได้ยินเสียงน้ำดังสนั่นอยู่ด้านหน้า เรียกว่า แก่งปากยาง ที่แก่งน้ำด้านซ้ายของสายน้ำ ฝีพายจะต้องยึดสายน้ำทางด้านซ้ายมือเอาไว้ ความยากของแก่งปากยางจะอยู่ในระดับ 2  3 แล้วแต่ความมากน้ำของกระแสน้ำก่อนจะหมด แก่งปากยางน้ำ จะมีน้ำตกเล็ก ๆ ที่ลดระดับของชั้นหินขวางอยู่ทั้งลำน้ำ มีความสูงต่างระดับกันประมาณ 1 เมตรกว่า ๆ ที่เรียกว่า แก่งหินลาด

แก่งหินลาด

จะเป็นช่วงสุดท้านของแก่งปากยางเป็นหินลดระดับลงห่างกันประมาณ 1 เมตร เมื่อล่องเรือยางมาถึงแก่งนี้แล้ว จะต้องยึดตัวให้อยู่บนเรือ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกกระแสน้ำซัดกระเด็นออกนอกเรือ หรือกระเด็นไปอยู่ที่ด้านหลังหรอด้านหน้าของเรือก็ได้ เมื่อผ่านแก่งนี้ไปได้สายน้ำจะลดความรุนแรงลง กลายเป็นสายน้ำนิ่งไหลเอื่อยอีกครั้ง

แก่งสวนรัชมังคลา

ไม่ไกลจากแก่งน้ำตกหลังสวนนัก จะพบกับทางแยกของสายน้ำอีกครั้ง สามารถไปได้ทั้งซ้ายและขวา แต่ขอแนะนำให้ล่องแพไปทางด้านชวาของสายน้ำจะสนุกตื่นเต้นกว่าทางด้านซ้าย ทางด้านขวาน้ำจะมีหินขวางอยู่กลางลำน้ำ ทำให้ได้สนุกสนานกับการบังคับเรือยางให้ผ่านพ้นไปช่วงปลาย ๆ ของแก่งนี้ จะมีความรุนแรงถึงระดับ 3  4 เลยทีเดียว ถ้าเป็นช่วงนี้น้ำขึ้นสูงมาก ๆ จะมียอดคลื่นสูงเกิน 1 เมตร

แก่งซาง

อยู่ไม่ไกลจากแก่งสวนรัชมังคลา ก่อนที่เรือจะถึงแก่งซางน้ำ สายน้ำจะค่อนข้างราบเรียบ ลักษณะของแก่งซางจะเป็นลานหินกว้างมาก และลดระดับลงในแต่ละช่วง กว่าจะสิ้นสุดแก่งซางนั้น สายน้ำก็ลดระดับลงไม่ต่ำกว่า 10 เมตร แก่งนี้จึงมีความยากในระดับ 4  5 เมื่อเรือยากล่องผ่านน้ำนิ่ง สายน้ำจะหักเลี้ยวซ้าย ทันทีที่เรือเลี้ยวมาตามสายน้ำ ก็จะได้พบกับความยิ่งใหญ่ของแก่งซาง ความรุนแรงของกระแสน้ำ ที่ลดหลั่นกันลงไปตามเชิงชั้นของแผ่นหินกระเซ้นแตกเป็นฟองกระจาย กว่าจะผ่านแก่งซางไปได้น้ำก็เข้ามาเต็วเรือทีเดียวเพราะฉะน้ำจะต้องบังคับเรือชิดทางด้านฝั่งซ้ายเอาไว้ ถ้าบังคับเรือมากลางสายน้ำ หรือด้านขวาของสายน้ำ ความรุนแกรงของกระแสน้ำจะพัดเรือไปกระแทกหินทางด้านฝั่งขวา อาจจะทำให้เรือพลิกคว่ำได้ แก่งซางนี้จึงนับได้ว่าเป็นแก่งที่ค่อนข้างอันตราย จะต้องนั่งแล้วพยายามยึดตัวเองให้อยู่ในเรือ

แก่งโสภาราม

เป็นแก่งหักศอกรูปตัว ความรุนแรงของกระแสน้ำไม่รุนแรงมากนัก แต่จะโค้งหักศอก

แก่งนางคอย

ลักษณะของแก่งนางคอยจะเป็นการลดระดับของชั้นหิน และกระแสน้ำจะมีความสูงเกือบ 2 เมตร ความยากจะอยู่ในระดับ 4-5 การลดระดับของชั้นหินนั้นจะเอียงจากทางด้านขวาของสายน้ำไปทางด้านซ้ายในแนวเฉียง จึงทำให้เพิ่มความยากขึ้นไปอีก ควรจอดเรือตรงลานหินเหนือแก่ง แล้วเดินไปตรวจดูสภาพของแก่งเสียก่อนว่าควรจะนำเรือยางไปตามล่องน้ำด้านไหน แต่ขอแนะนำให้ลงทางด้านซ้าย แต่ไม่ใช่ซ้ายสุด เพราะทางด้านซ้ายสุด ด้านล่างของแก่งจะมีก้อนหินใหญ่อยู่ 2 กันแพอาจจะพลิกคว่ำได้ ถ้าล่องผ่านแก่งนางคอยแล้วสามารถบังคับเรือกลับไปล่องน้ำด้านขวามือสุดจะเป็นร่องน้ำเล็ก ๆ ก็จะสามารถนำเรือขึ้นไปล่องลนแก่งนางคอยได้อีก ถ้าต้องการเพิ่มความสนุกสนาน

แก่งยาว

แก่งยาวจะมีความยาวกว่า 100 เมตร สมกับชื่อของแก่งกว่าจะล่องผ่านแก่งยาวไปได้ก็สะบักสะบอมกันเอาเรื่องทีเดียว ลักษณะของแก่งยาวจะเป็นแก่งที่สายน้ำจะผ่านโขดหินมากมาย และจะค่อย ๆ ลดระดับลาดเอียงลงสู่ด้านหน้าของแก่งควรจะบังคับเรือยางให้เข้าร่องน้ำทางด้านซ้ายก่อนจะสิ้นสุด ปลายแก่งจะมีก้อนหินใหญ่ขวางอยู่ต้องบังคับเรือหลบหลีกให้ทัน ไม่เช่นนั้นเรืออาจจะกระแทกกับหินทำให้เกิดอันตรายได้ ความยากของแก่งนี้จะอยู่ในระดับ 3  - 4 แล้วแต่ระดับของน้ำ

เมื่อล่องแพผ่านทั้งแก่งซางแก่งนางคอย และแก่งยาวมาได้แล้วแก่งต่าง ๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่ใช่เป็นแก่งที่ยาก ไม่ว่าจะเป็นแก่งคงสัก หรือแก่งวังน้ำเย็น ที่มีความยากในระดับ 1  2 เท่านั้น สามารถลงไปลอยคอผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้เย็นสบาย จนถึงจุดขึ้นฝั่งที่แก่งทักขุนไทได้อย่างสนุกสนานทีเดียว รวมแล้วผ่านมา 18 แก่ง






ข้อควรระวังในการล่องแพลำน้ำเข็ก

ลำน้ำเข็กค่อนข้างจะมีความรุนแรงเชี่ยวกรากในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกชุก นักท่องเที่ยวจะไม่สามารถลงเล่นน้ำตกต่าง ๆ ได้ แต่ในช่วงฤดูฝนนั้นนักท่องเที่ยวสามารถเล่นเรือยางล่องแก่งต่าง ๆ ได้อย่างสนุกสนานเร้าใจเป็นอย่างมาก แต่นักท่องเที่ยวที่จะมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กนั้นควรจะต้องว่ายน้ำเป็น มีร่างกายและใจที่พร้อม และรู้จักระมันระวังตนเองเพราะสายน้ำแห่งนี้ยิ่งมีกระแสน้ำรุนแรงเท่าใด อุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้มากยิ่งขึ้น




วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"เขาเย็น"เราเห็นยังเย็นเลย

เขาเย็น.....ที่ยอดพันแปด









          หลายคนในนี้อาจยังไม่รู้จักเขาเย็น กะ น้ำตกคลองน้ำแดง แต่ว่า ผมเองก็ไม่มีข้อมูลมากพอ เอาเป็นว่า คุยกันพอคร่าวๆ แล้วกันครับ ผมพิมพ์ไม่เก่ง...
    เขาเย็น และก็คลองน้ำแดง อยู่ในอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า การที่จะเข้าไปน้ำตกคลองน้ำแดง ก็ต้อง นั่ง 4WD พันโซ่ที่ล้อด้วย สำหรับหน้าฝนอย่างนี้ วิ่งไป....ประมาณ สอง สาม ช.ม แล้วก็ เดินเท้าต่อ 4-5 ชม.
    พวกผมนั่ง รถบขส . ที่หมอชิต รถ เชียงใหม่ หรือรถ ลำปางก็ไปได้ทุกบริษัท บอก พนักกงานบริการ บนรถ ให้แวะที่วังเจ้าด้วย อ. วังเจ้านี้จะ เลย ตัวจ. กำแพงเพชร ไปอีก 50-60 หรือ70 โล จำไม่ค่อยได้ครับ แต่ ยังไม่ถึง จ. ตาก ซึงต้องห่างไปอีก ประมาณ 30 โล แล้ว เหมารถ สองแถว ไป 300 บาท เข้าสู่ อุทยานแห่งชาติ คลองวังเจ้า.. น่ะครับ
    รถบขส. เนี้ยจะจอดใกล้ตลาดเลย ตรงนั้น ถนนตั้ง 8 เลนแน่ะ ..! นั่งไป 3ทุ่มครึ่ง ไป ถึงก็เกือบ ตี3 นั่งกินกาแฟ กันก่อน เสร็จแล้วรอเวลา ตี 4 ก็ไปชอบปิ้งที่ตลาด ใกล้ๆ ซื้อสเบียงอาหารมากินกัน แล้วไปนั่งรถเข้าอุทยาน เช่า4 wd ต่อ เข้าไป แล้วเดินป่ากัน... ต่อไป เรามาเดินตามกันไปดีก่า.... เอิ๊ก..





                 ทริปสำรวจยอดเขาเย็น ยอด 1,898 เป็นยอดที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ระยะทางเดินเท้ารวมประมาณ 26 กม. เดินผ่านป่าดิบเขาท่ามกลางป่าต้นน้ำคลองสวนหมากที่อุดมสมบูรณ์มีพันธุ์ไม้นานาชนิด รวมทั้งกล้วยไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์ ณ บนยอดสูงสุด ฤดูร้อน อากาศยามค่ำคืน อยู่ที่ 10-13 องศาเซลเซียส


วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อยากเอาเสื่อไปปูนอนตรงนั้นจริงๆ

#‎น้ำตกหมอกฟ้า‬ ‪จังหวัดเชียงใหม่‬




             น้ำตกหมอกฟ้า เป็นน้ำตกที่ไหลตกลงจากหน้าผาสูง ไหลลงแอ่งน้ำเบื้องล่าง แล้วไหลลงไปตามลำธาร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ใกลจากตัวเมืองอำเภอเชียงใหม่มากนัก มีความร่มรื่นเป็นธรรมชาติ นอกเหนือจากน้ำตกที่สวยงามของที่นี่แล้ว ที่นี่ยังมีถ้ำหมอกฟ้าที่อาศัยของค้างคาว และเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติด้วย กิจกรรมที่สามารถทำได้ที่นี่ก็มี เล่นน้ำ ตั้งแคมป์ ศึกษาเดินดูธรรมชาติ ดูนก









                น้ำตกหมอกฟ้า น้ำตกเกิดจากลำธารที่ไหลมาจากป่าทึบก่อนจะแยกเป็นสองสายไหลตกลงมาจากผาหิน บริเวณโดยรอบปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่และพืชประเภทพวกมอสและเฟิร์น ความชื่นจากละอองน้ำตกทำให้อากาศเย็นสบาย ช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดคือฤดูหนาว น้ำจะใสสะอาด สามารถลงไปเล่นน้ำที่แอ่งด้านล่างได้
ในตอนเช้าจะมีแสงแดดส่องถึงลงมาสะท้อนกับสายน้ำสีขาวทำให้เกิดเป็นรุ้ง ประกายสวยงามมาก ที่หน้าผาจะมีมอส เฟิร์นเกาะสีเขียวชื้น และหากมาในช่วงฤดูหนาวใบไม้ร่วง จะให้บรรยากาศที่ดีไปอีกแบบ ในฤดูฝนน้ำตกแห่งนี้ยังสวยงามไม่แพ้กัน น้ำจะไหลรุนแรงกว่ากระทบกับหน้าผาและแอ่งน้ำเบื้องล่างเสียงดังกึกก้อง ละอองน้ำกระเซ็นลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณงดงามเปรียบเสมือนสายหมอกสีขาวซึ่งเป็นที่มาของชื่อน้ำตกแห่งนี้นั่นเอง และถ้าหากต้องการพักแรมก็สามารถทำได้ มีลานกางเต็นท์ บ้านพักนักท่องเที่ยวอีก 4 หลัง ควรจองห้องพักล่วงหน้าหรือติดต่อที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ดอยปุย โทร.0 5329 5041



ที่ตั้ง
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ดอยปุยที่2 บริเวณ กม.ที่ 19 ทางหลวงหมายเลข 1095 (แม่มาลัย-ปาย)
การเดินทาง
จากเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 (ไชยปราการ-ฝาง) ผ่านอ.แม่ริมจนถึงสามแยกแม่มาลัย และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1095 (แม่มาลัย-ปาย) ตรงไปจนถึงกม.ที่ 19 มีถนนลาดยางเข้าไปในที่ทำการหน่วยฯ ระยะทาง 2 กม.

ขอบคุณภาพสวยๆ จากคุณdoimanครับ