วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

แสงสียามค่ำที่สังขละ

       

          สังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอ ทองผาภูมิ 74 กิโลเมตร เมืองชายแดน แห่งนี้ รายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอัน เขียวขจี มีแม่น้ำซองกาเลีย ไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่า พาดผ่าน อำเภอสังขละบุรีหล่อเลี้ยงผู้คน สองฟากฝั่งแม่น้ำ และเชื่อมสัมพันธ์ ชนชาติิมอญทั้งสองประเทศ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม่น้ำซองกาเลียจึงเป็นชื่อเรียก จากภาษามอญแปลเป็น ไทยว่า“ฝั่งโน้น” แม่น้ำซองกาเลียแบ่งแผ่นดินอำเภอสังขละบุรีออกเป็น สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือตัวอำเภอ ซึ่งรวม สถานที่ราชการและสถานที่พัก สำหรับ นักท่องเที่ยว ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่พูดภาษาไทย ภาคกลางส่วน อีกฝั่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านของชาวมอญทั้งที่ตั้งรกราก มานานนับร้อยปีและเพิ่ง อพยพเข้ามาใหม่สังขละบุรีเมืองที่ มีความงามหลากหลาย ทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ของพี่น้องต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งมอญ กระเหรี่ยง ไทย ลาว พม่า ฯลฯ อำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญ อาศัยตั้งบ้านเรือน อยู่เป็นจำนวนมาก ตัวอำเภอตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า"สามประสบ" คือบริเวณที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ ห้วยซองกะเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นของแม่น้ำแคว เมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดม เมืองที่มีความงาม หลากหลายทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรม พี่น้องต่าง เผ่าพันธุ์ ทั้งมอญ กระเหรี่ยง ไทย ลาว พม่า ฯลฯ








1.สะพานมอญ
            "สะพานไม้อุตตมานุสรณ์" หรือที่ เรียกกันว่า "สะพานมอญ”เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศ  มีความยาวประมาณ ๑ กม.  หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยงและมอญได สัญจร ไปมาหาสู่กันได้ เป็นการสร้าง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสามกลุ่มสะพานมอญเป็นจุดท่องเที่ยวที่เรียกว่า กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังขละบุรีไปแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมเดิน ชมสะพานเพื่อชมแสงสีทองของ พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า รวมถึง ชมวิถีชีวิตของชาวไทย และมอญที่เดินข้ามไปมาหากันบนสะพาน แห่งนี้ซึ่งค่อน ข้างจะคึกคักมากในช่วงเช้า








2.เมืองบาดาล
ในอดีตเป็นวัดวังก์วิเวการามเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะและชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยง และมอญได้ร่วมกันสร้างขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ. 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำ รันตี ไหลมาบรรจบกัน ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้าง เขื่อนเขาแหลมทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรี เก่ารวมทั้งวัดนี้ ด้วย หลวงพ่อจึงได้ย้ายมาสร้างวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานาน นับสิบปี ใน ช่วงฤดูแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจะลดจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด สามารถนั่งเรือ และขึ้นไปเดินเที่ยวชมโบสถ์ได้ ท่านสามารถล่องเรือชมบรรยากาศสองริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งจะพบวิถีการดำเนินชีวิตของ ชาวมอญ และเห็น ยอดเจดีย์พุทธคยาระหว่างการล่องเรือ ในช่วงน้ำมาก น้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอด ของโบสถ์เท่านั้นที่โผล่ให้เห็น ทำให้ที่นี่ เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ มีเสน่ห์จนกลายเป็นแหล่ง ท่องเที่ยว Unseen Thailand ในชื่อ เมืองบาดาล




วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

Splashdown Water Park Pattaya

           สแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา (Splashdown Water Park Pattaya) สวนน้ำแนวแอดเวนเจอร์ เหมาะกับทุกเพศทุกวัยที่รักความท้าทาย
           เราเชื่อว่าความเป็นเด็กมีอยู่ในทุกคน ที่แม้ว่าอายุจะล่วงเลยไปไกลแค่ไหนแต่ต้องมีสักช่วงเวลาล่ะน่า ที่คุณอยากจะมาปลดปล่อยความสนุกและความซุกซนที่ซ่อนอยู่ ยิ่งถ้ามีเครื่องเล่นที่กระตุ้นต่อมความท้าทายอย่าง Splashdown Water Park Pattaya สวนน้ำแนวแอดเวนเจอร์ด้วยแล้วละก็ รับรองว่าคุณจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย




       สำหรับสวนน้ำสแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา ถือเป็นสวนน้ำแห่งแรกที่เป็นแนวแอดเวนเจอร์แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งทุกเครื่องเล่นของที่นี่จะทำให้คุณสนุกแบบเปียกปอนไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น "Big Blob" สไลเดอร์สำหรับคนชอบความท้าทาย, ด่าน "Big Red Balls" ด่านที่ต้องใช้การทรงตัวเป็นเลิศ หรือจะเป็นด่าน "The Wall Racer" ให้คุณและเพื่อน ๆ ได้ประลองฝีไม้ลายมือกันเบา ๆ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเล่นอีกมากมายที่จะทำให้คุณเต็มใจเปียกแบบไม่ลังเลเลย ส่วนใครที่มากันแบบครอบครัวก็ไม่ต้องกลัวว่าเด็ก ๆ จะเล่นได้หรือเปล่า เพราะที่นี่เขามีโซนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ที่สำคัญยังเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยเป็นที่สุด





      โดยสวนน้ำสแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา จะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. ส่วนอัตราค่าบริการสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานหรือใบขับขี่ในไทย ราคาจะอยู่ที่ 650 บาท สำหรับชาวต่างชาติซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ 1,500 บาท และเอาใจผู้ปกครองที่แค่มาดูแลบุตรหลานแต่ไม่อยากเล่นเครื่องเล่น ราคาจะอยู่ที่ 200 บาท นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดสำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกรุ๊ปใหญ่, งานสัมมนา หรือสำหรับโรงเรียนที่ต้องการพาเด็ก ๆ มาเที่ยวนอกสถานที่





         เรียกว่าครอบคลุมทุกกลุ่มนักท่องเที่ยวจริง ๆ นอกจากนี้ ยังมีโซนสำหรับอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการด้วย และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทาง เพราะเขามีบริการรับ-ส่งระหว่างสวนน้ำและที่พักด้วยค่ะ

           งานนี้ใครที่อยากจะปล่อยแก่ เอ้ย ! ปล่อยความซ่าในตัวก็สามารถมาพิสูจน์ความสนุกท้าทายได้ด้วยตัวเองที่ สวนน้ำสแปลชดาวน์ วอเตอร์ พาร์ค พัทยา หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 09 2234 9679 (ภาษาอังกฤษ), 09 2228 6065 (ภาษาไทย) หรือดูรายละเอียดได้ที่www.splashdownwaterparkpattaya.com และ เฟซบุ๊ก Splashdown waterpark pattaya








วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำตกสายทิพย์

น้ำตกสายทิพย์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว 





น้ำตกสายทิพย์” เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีจำนวนชั้นทั้งหมด 7 ชั้น ในการเดินลงสู่ตัวน้ำตกนักท่องเที่ยวควรสวมใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่มีความสามารถในการยึดเกาะพื้นผิวเป็นอย่างดีเนื่องจากทางลงสู่ตัวน้ำตกแต่ละชั้นค่อนข้างชันและลื่น ก้อนหินโดยรอบบริเวณน้ำตกถูกปกคลุมไปด้วยพืชจำพวกมอสและตะไคร่น้ำดูเขียวชอุ่มสวยงาม ปัจจุบันทางอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวได้ทำรั้วไม้กั้นทางไว้ไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไปเกินน้ำตกสายทิพย์ชั้นที่ 5 เพื่อความปลอดภัย 





     นอกจากน้ำตกสายทิพย์แล้ว.....ยังมีน้ำตกซึ่งมีความสวยงามและน่าสนใจบริเวณใกล้ ๆ กับลานสนภูสอยดาวอีก 2 แห่ง ได้แก่ “น้ำตกหุมพบ(น้ำตกหลุมพบ)” และ “น้ำตกมอส
    จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวกล่าวว่า “น้ำตกหุมพบ(น้ำตกหลุมพบ)” เป็นน้ำตกซึ่งมีความสูงชันมาก ถูกค้นพบโดยบุคคลชื่อ “หุม” อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตก ต่อมาจึงมีการเรียกชื่อเพี้ยนไปเป็น “น้ำตกหลุมพบ” ซึ่งเป็นคำเรียกที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยมากกว่า นักท่องเที่ยวซึ่งต้องการจะเดินทางไปชมความงดงามของน้ำตกแห่งนี้จำเป็นต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทาง สำหรับ “น้ำตกมอส” นั้นเป็นน้ำตกที่มีพืชจำพวกมอสและตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมโขดหินโดยรอบบริเวณน้ำตกเช่นเดียวกับ “น้ำตกสายทิพย์” แต่ “น้ำตกมอส” เป็นน้ำตกซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาเขตประเทศลาว การจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังน้ำตกมอสจำเป็นต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทางเช่นเดียวกันกับการเดินทางไปยังน้ำตกหุมพบ (ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมไม่ได้เดินทางเข้าไปเก็บภาพถ่ายและข้อมูลของ “น้ำตกหุมพบ” และ “น้ำตกมอส” บริเวณตัวน้ำตก หากแต่ใช้วิธีการสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแทนครับ)
    ภายหลังจากที่ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com) เก็บภาพถ่ายน้ำตกสายทิพย์เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็แวะนั่งพักรับประทานอาหารกลางวันแล้วจึงเดินกลับไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้ ๆ กับจุดกางเต็นท์เพื่อสำรวจตรวจดูแผนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบลานสนภูสอยดาว (มีป้ายโลหะของแผนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบลานสนภูสอยดาวปักอยู่บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้ ๆ กับจุดกางเต็นท์) เส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้เป็นทางเดินซึ่งเชื่อมติดต่อกันจนเกือบจะเป็นทรงกลม มีระยะทางรวมประมาณ 2.3 กม. มีการสร้างป้ายคำอธิบายเกี่ยวกับระบบนิเวศน์บนลานสนภูสอยดาวและป้ายคำอธิบายข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ตั้งเอาไว้ตามสถานีต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ เช่น ชีวิตมหัศจรรย์บนลานสน , พิชิตภูเดียวเที่ยวสองประเทศ , หลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า , มณีเทวาบุปผาราชินี , จุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาว , ฯลฯ นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 1 – 2 ชม.เดินสำรวจเส้นทางสายนี้ได้จนทั่ว


ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
..........ความสวยงามที่ผองคนเฝ้าค้นหา..........

ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
ภูสอยดาว.....ดินแดนแห่งน้ำค้างกลางเที่ยง

ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทุ่งดอกหงอนนาค อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์

..เด็กหลง (ระเริง) ป่า !?.......

     แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยแต่เมฆหมอกก็ยังคงปกคลุมทั่วผืนฟ้าอยู่อย่างหนาแน่น เม็ดฝนน้อยใหญ่ร่วงหล่นโปรยปรายลงมาเป็นระลอก สายลมเย็นพัดพาละอองไอน้ำต้องกระทบกับร่างกายจนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน บรรยากาศต่าง ๆ รายรอบตัวบ่งบอกถึงความหมายของสมญานาม “ดินแดนแห่งน้ำค้างกลางเที่ยง” ของภูสอยดาวได้เป็นอย่างดี ..........บ่ายวันนี้..........พวกเราตั้งใจว่าจะเดินวนเวียนไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบลานสนภูสอยดาวให้ครบ 1 รอบ
     พวกเรากำหนดจุดตั้งต้นบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้วออกเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้านทิศตะวันออก ไม่นานนักพวกเราก็ได้มาพบกับต้นกล้วยไม้ “เอื้องแซะภูกระดึง” ที่กำลังออกดอกสีขาวบอบบางดูน่าทะนุถนอม ต้นกล้วยไม้เอื้องแซะภูกระดึงที่ชูช่อออกดอกอยู่บนลานสนภูสอยดาวนี้เป็นต้นกล้วยไม้ซึ่งพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาได้ทรงปล่อยคืนสู่ป่าไว้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯมาตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบัน









 ใกล้ ๆ กับสถานี “หลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า” จะมีทางแยก 2 เส้นทาง เส้นทางแรกมุ่งสู่ด้านทิศเหนือของลานนไปสิ้นสุด ณ “จุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาว” จากจุดนี้นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบภูสอยดาวได้แบบ 360 องศา ในช่วงเวลาเช้าหรือเวลาเย็นหากคุณมีอารมณ์โรแมนติกมากพอก็อาจจะพกพาไฟฉายส่องทางมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกก็ได้ จุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวนี้อยู่ห่างจากหลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้าประมาณ 800 เมตรและไม่มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้านอื่น ๆ (เมื่อเดินขึ้นไปถึงจุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวแล้วต้องเดินย้อนกลับลงมาตามเส้นทางเดิมเท่านั้น) ส่วนเส้นทางที่สองเป็นเส้นทางเลาะเลียบไปตามขอบหน้าผาด้านทิศตะวันตกของลานสนภูสอยดาวยาวเชื่อมต่อไปจนถึง “จุดชมพระอาทิตย์ตกภูสอยดาว” และสามารถเดินย้อนกลับไปยังจุดตั้งต้นบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้ในที่สุด [นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินไปตามเส้นทางด้านทิศตะวันออกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว – พิชิตภูเดียวเที่ยวสองประเทศ – หลุมบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า (แวะไปจุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวได้) – จุดชมพระอาทิตย์ตกภูสอยดาว – ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือจะเลือกเดินไปตามเส้นทางด้านทิศตะวันตกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว – จุดชมพระอาทิตย์ตกภูสอยดาว – บังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า (แวะไปจุดชมทิวทัศน์ยอดภูสอยดาวได้) – พิชิตภูเดียวเที่ยวสองประเทศ – ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก็ได้]